พลันที่ผมได้รับคำสั่งลับ (รึเปล่า ?) ให้มาราชการที่ประเทศบรูไน พร้อมพลพรรคจำนวนรวม 5 นาย ซึ่งแต่เดิม พวกผมจะต้องมาถึงบรูไนตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมแล้ว แต่เนื่องจากเหตุขลุกขลัก (คนละอย่างกะขลุกขลิก..ซึ่งแปลว่าน้ำน้อย) ของประเทศบรูไน ก็เลยทำให้ต้องเลื่อนกำหนดการออกมาเป็นช่วงปลายเดือน เมื่อได้รับคำสั่งดังนั้น ผมก็มิช้าอยู่ใย ซ่องสุมกำลังครบ 5 นายได้ก็จัดแจงซักซ้อมแผนการณ์ที่ถูกสั่งมาแบบลับ ๆ อีกเช่นกัน (เนื่องจากต้องสืบทราบกันเอาเองว่าสั่งว่าอันใด...อิ อิ) พร้อมดังนั้นแล้ว พวกเราก็พากันเดินทางมุ่งสู่ "บรูไน ดาลุสซาลาม" ทันที...
21 พฤษภาคม 2551 ผมเดินทางออกจากสนามบินแห่งความภาคภูมิใจของชาติ..ใช่แล้วครับ "สุวรรณภูมิ" สนามบินซึ่งครั้งหนึ่งผม "เคย" คิดว่า เป็นสนามบินที่ใหญ่ และ ดีที่สุดในภูมิภาคนี้ ตามคำโฆษณาชวนเชื่อของ "ใครบางคน" มุ่งหน้าสู่ นครบันดาเสรี เบกาวัน ประเทศบรูไน เพื่อทำภารกิจสำคัญของชาติ เป็นเวลา 7 วัน แต่จะทำอะไรนั้น ฮะแฮ่ม...ขออุบไว้ก่อน เพราะถ้าบอกตอนนี้ ก็เท่ากับว่าบอกตอนจบของหนังทั้งเรื่อง เดี๋ยวจะทำให้คาดเดาเอาได้ แล้วจะพาลไม่สนุกไปซะตั้งแต่เริ่มต้น
สายการบิน Royal Brunei Airlines เที่ยวบินที่ BI 516 พาผมทะยานเหนือท้องฟ้า "สุวรรณภูมิ" เมื่อเวลา 16.50 น. เป๊ะ ไม่มีขาด ไม่มีเกิน (เว่อร์ไปหน่อยกระมัง ? ) เพื่อมุ่งหน้าสู่ดินแดนแห่งเศรษฐีเมืองน้ำมัน ที่กำลังทำโลกทั้งโลกโดยเฉพาะประเทศของผม ปั่นป่วนด้วยราคาเบนซินแตะ 40 บาท เข้าให้แล้ว ณ วันที่ผมพร่ำพรรณาอยู่นี้ แล้วก็คิดว่าราคาคงจะพุ่งขึ้นไปได้เรื่อย ๆ ตราบใดที่น้ำมันยังเป็นปัจจัยสำคัญของโลกในเวลานี้
20.45 น. ตามเวลาของประเทศบรูไน ซึ่งเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมง สายการบินแห่งชาติบรูไน ก็พาผมลงแตะพื้นสนามบินที่กรุงบันดาเสรี เบกาวัน ประเทศบรูไน ผมก้าวเดินออกจากประตูเครื่องบินไม่ทันไร ก็พบกับสาวผู้สูงศักดิ์ บุคลิกดีท่านหนึ่ง ทันทีที่ปะทะผมซึ่ง ๆ หน้า ความ "เก๋าเกมส์" ความมีไหวพริบปฏิภาณ ของเธอ ก็ทำให้เธอยิงคำถามเข้าใส่ผมทันที "พันตำรวจเอกยิ่งยศ เทพจำนงค์ รึเปล่า คะ" ผมตอบรับ พร้อมยกมือขึ้นวันทา ตามประสาคนมือเท้าอ่อน และจากสายตาพร้อมประสบการณ์ความ "เก๋าเกมส์" ของกระผมเหมือนกัน ที่พอจะคาดเดาออกได้ว่า เธอต้องเป็นข้าราชการระดับสูง ของสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำบรูไน ซึ่งการคาดเดาของผมมิผิดพลาดแต่อย่างใด เพราะภายหลังมาทราบจากนามบัตรของเธอว่าเธอคือ ม.ล.ศุภรัตน์ เทวกุล มีตำแหน่งเป็น Minister Counsellor, Deputy Head of Mission ซึ่งผมก็ไม่กล้าแปลเป็นภาษาไทยเหมือนกัน เกรงว่าจะปล่อยไก่ ด้วยความอ่อนด้อยของสติปัญญา (แต่น่าจะประมาณว่า "อัครราชทูตที่ปรึกษา" รึอะไรทำนองนี้แหละครับ)..ผมแอบคิดในใจเป็นภาษาบรูไนว่า เอ...การมาของผมแค่คนเดียวเนี่ยนะ สร้างความลำบากยากเข็ญให้คนอื่นมากมายอย่างนี้เลยหรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าราชการระดับผู้ใหญ่ของสถานทูตที่ต้องอดหลับอดนอนมารับผมแทบถึงประตูเครื่องบิน ด้วยแล้ว ผมรู้สึกละอายใจยังไงบอกไม่ถูก ....แต่ยังไงก็ต้องขอกราบของพระคุณงาม ๆ พี่ศุภรัตน์ พร้อมพาหนะคันโตจากสถานทูต ที่สู้อุตส่าห์มาเสียเวลากับผมในวันนี้....ขอบพระคุณมากคร้าบ..
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจบรูไน หน้าตาเป็นมิตร แสดงตัวพร้อมขอเข้าจับกุม เอ๊ย ไม่ใช่ ขอมารับรองตามคำสั่งเจ้านายจากประเทศบรูไนครับกระผมด้วยอาการกุลีกุจอ ช่วยหอบหิ้วสัมภาระ พร้อมนำ Passport ของผมไปดำเนินกรรมวิธีเข้าเมืองแบบที่ทางบ้านเราเรียกว่า "อ.น." หรือ "อำนวยความสะดวก" ทางช่องทางพิเศษทันที และเวลาเพียงไม่ถึง 10 นาที ผมก็ได้รับการ "อ.น." ผ่านช่องทางซุปเปอร์ไฮเวย์ พร้อมกับนำสัมภาระพะรุงพะรัง แบบที่เรียกได้ว่า "บ้าหอบฟาง" ออกมาจากสนามบินได้สำเร็จ
ด้วยความที่สนามบินที่นี่เป็นสนามบินแบบเล็ก ๆ กระทัดรัด ขนาดก็ประมาณว่าเล็กกว่าสนามบินที่ภูเก็ตซักหนึ่งในสามเห็นจะได้ เหตุผลที่ประเทศนี้มีพลเมืองน้อยมาก ข้อมูลจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Brunei คลังความรู้ของโลกทำให้รู้ว่าประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้มีประชากรเพียงสามแสนกว่าคนเท่านั้นเอง ก็เลยไม่รู้จะสร้างสนามบินใหญ่โตไปทำทรากอะไร ส่วนความเริ่ดหรูอลังการณ์นั้น ก็ดูจะผิดคาดไปมาก ตอนแรกนึกว่าประเทศร่ำรวยอย่างบรูไน จะดูสะอาดเอี่ยมเริดหรูไปทุกกระเบียดนิ้ว แต่ที่ไหนได้ครับ ดูๆ ไปแล้ว บ้านเราดูจะดีกว่าเยอะเลย...พูดถึงตรงนี้แล้ว ชักอยากจะกลับมาภาคภูมิใจกับ "สุวรรณภูมิ" ของผมอีกแล้วซิ..?
พี่ศุภรัตน์ พร้อมคณะตำรวจจากบรูไน นำผมออกจากสนามบิน มุ่งหน้าไปสู่สถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นเหมือนสถานที่สำหรับ เลี้ยงรับรองแขก หรือจัดการแสดงพิเศษ ของรัฐบาล เป็นสถานที่ที่อยู่ในเขต "พระราชฐาน" ของกษัตริย์ หรือจะเรียกให้ถูกต้องก็ ของ "สุลต่าน" แห่งบรูไน ซึ่งขณะนั้น ก็เป็นเวลากว่าสามทุ่มเข้าไปแล้ว ผมหันไปถามคณะตำรวจที่ไปรับผมเป็นภาษาอังกฤษปนแขกผสมมาเลย์นิด ๆ แปลเป็นไทยว่า "อีนี่ก็ดึกแล้ว จะพากระผมมาทีนี่ทำไมจ๊ะนายจ๋า หรือว่า...มึงจะพากรูมาฆ่า ?" (เวลาออกเสียงต้องลอยหน้าลอยตาแบบพวกดาราหนังแขก ถึงจะดูอินกับสถานการณ์ แล้วที่สำคัญเพื่อให้เข้ากันได้กับการใช้ภาษาของคนละแวกนี้ หมายถึงละแวก มาเลเซีย สิงคโปร์ แล้วก็บรูไน เวลาจะลงท้ายประโยค ควรจะลงท้ายด้วยคำว่า "ล่ะ" เสมอ ถึงจะดูเนียน)
ประดาตำรวจแขกที่นั่งมากับผมโบกไม้โบกมือตอบเป็นเสียงเดียวกันในบันไดเสียง "ซีเมเจอร์เซเว่น" ตามประสานักดนตรีตำรวจว่า "อีนี่เปล่านะจ๊ะนายจ๋า อีนี่จ๋านไม่ได้พานายมาฆ่า แต่จ๋านพานายมากระตืบต่างหาก..ล่ะ (เกือบลืมลงท้าย)" เปล่าหรอกครับ..ล้อเล่นหน่ะ ตำรวจพวกนี้พาผมมาดูการฝึกซ้อมร่วม ของบรรดาลูกน้องของผมซึ่งเป็นนักดนตรีตำรวจ จากประเทศไทยที่เดินทางมาก่อนหน้าผมแล้วหนึ่งวัน กับตำรวจของประเทศอื่น ๆ ในอาเซี่ยน ซึ่งถือเป็นกิจกรรมประจำปี ประกอบพิธีการประชุมหัวหน้าตำรวจอาเซี่ยน ซึ่งจะจัดขึ้นโดยหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ โดยมีกิจกรรมประเภทต่าง ๆ ประกอบการประชุม เพื่อสร้างสีสรรค์ และที่สำคัญกระชับความเป็นอาเซี่ยน ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน กิจกรรมที่จัดนอกจากการประชุมก็มีเช่น การแข่งกันกอล์ฟ การแข่งขันยิงปืน แล้วก็การแสดงดนตรีร่วมกัน แต่จะร่วมในลักษณะใดนั้นขึ้นอยู่กับประเทศเจ้าภาพจะออกแบบ เช่นอาจเปิดการแสดงเป็นเรื่องเป็นราวในลักษณะคอนเสิร์ต ให้สาธารณะชนเข้ามาชมกัน หรืออาจะเป็นการแสดงโชว์ให้บรรดาผู้เข้าร่วมประชุม รวมทั้งตำรวจในประเทศนั้น ๆ เข้าชมกัน แต่ในปีนี้มาแปลกครับ เป็นการแสดงในลักษณะ "กาลา ดินเนอร์" ให้ผู้เข้าร่วมประชุม บุคคลสำคัญของประเทศ ได้เข้ามาร่วม และที่สำคัญ ในปีนี้รัฐบาลบรูไน ยังได้กราบบังคมทูลเชิญ "สุลต่านแห่งบรูไน" เสด็จมาทรงร่วมงานกาลาดินเนอร์ และทอดพระเนตรการแสดงดนตรีในครั้งนี้ด้วย...อุ๊ แม่เจ้า ! (หมายเหตุ ...เป็นคำอุทานตามสมัยนิยมของปีราว ๆ คริสศตวรรษที่ 21...เผื่ออีก 2800 ปีข้างหน้ามีคนมาแอบอ่าน จะได้รู้ความหมาย...อิ อิ !)
ทีนี้ รู้แล้วใช่มั๊ยหล่ะ...ล่ะ...ว่าผมมาทำอะไรที่นี่ เอ้ารู้แล้วก็เล่าต่อเลยแล้วกัน...ขอโซดาเพิ่มสองลังน้องเพราะกำลังจะ เหล้า...เอ๊ย เล่า...ผมเข้าทักทายมิตรรักแฟนเพลงจากประเทศอื่น ๆ ที่ก็รู้จักคุ้นเคยกันมาอยู่ก่อนแล้วจากการที่ร่วมเล่นร่วมบรรเลงด้วยกันมาครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สาม แล้วทุกครั้งผมก็มาทำหน้าที่หัวหน้าคณะ พร้อมกับเป็น "Conductor" ให้กับวงรวมตำรวจอาเซี่ยน ในเวลาบรรเลงเพลงในส่วนของประเทศไทย หลายท่านคงอาจจะทำหน้างง ๆ พร้อมกับมีคำถามในใจว่า ..."เฮ้ย..มึงเนี่ยนะมาเป็นคอนดักเตอร์..ถือดียังไงว่ะ ทำเป็นอะเปล่า รึว่าอ่านหนังสือบัณฑิต อึ้งรังษี คอนดักเตอร์ระดับโลกมากเกินไป เลยคิดว่าตัวเองทำได้"....แล้วผมจะเฉลยให้ทราบในอีกไม่กี่บรรทัดนี้ก็แล้วกัน ว่าทำไมผมถึงได้ "กล้า" เช่นนี้
แต่ก่อนที่จะมีเรื่องมีราวกันต่อ ผมขอขยายความอย่าง โค-ตะ-ระ เป็นทางการของการแสดงคอนเสิร์ตครั้งนี้เพิ่มเติมซักนิดนึงนะขอรับ การแสดงดนตรีร่วมกันระหว่างตำรวจในประเทศอาเซี่ยน เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้น ประกอบการประชุมหัวหน้าตำรวจอาเซี่ยน ซึ่งมีเป็นประจำทุกปี ปีนี้ (2551) จัดเป็นครั้งที่ 28 เข้าไปแล้ว (หมายถึงการประชุมนะจ๊ะ) แต่กิจกรรมการแสดงดนตรีร่วมกันนั้น เพิ่งจะเริ่มมีแบบเป็นทางการก็เมื่อ 2 ปีที่แล้วมานี้เอง โดยประเทศมาเลเซีย เจ้าภาพในขณะนั้น เป็นผู้เสนอให้จัดกิจกรรมนี้ขึ้น และเสนอให้ทำเป็นประเพณีปฏิบัติทุกปี โดยให้แต่ละชาตินำคณะนักดนตรีของแต่ละประเทศมารวมกันเป็นวง จำนวนมากบ้างน้อยบ้าง ขึ้นอยู่กับนโยบาย งบประมาณ ของทั้งประเทศเจ้าภาพ และประเทศที่เข้าร่วมแสดง โดยวงดนตรีที่จะนำนักดนตรีมาร่วมฝึกซ้อม และบรรเลงร่วมกัน เป็นวงที่ภาษาดนตรีเรียกว่า "Symphonic Band" ถ้าให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือวงโยธวาทิตแบบนำมานั่งบรรเลงนั่นแหละ แต่อาจมีเครื่องประกอบจังหวะ และเครื่องไฟฟ้า ที่เป็นภาคริทึ่ม มาประกอบด้วย (ขยายความนิดนึง....มันก็คือวงโยธวาทิตที่มี กลองชุด กีตาร์ไฟฟ้า กีต้าร์เบส เปียโน คีย์บอร์ด ...หรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ มาประกอบนั่นแหละคร๊าบ...) ก่อนการแสดง ซัก 3-4 หรือ 5 วัน แล้วแต่นโยบายของเจ้าภาพ ก็จะต้องมาเข้าค่ายฝึกซ้อมกันก่อน หรืออาจมีการประชุมกำหนดแผนการแสดงก่อนฝึกซ้อมก่อนก็เป็นไปได้ อย่างปีที่แล้วที่ประเทศสิงคโปร์เป็นเจ้าภาพ ซึ่งเป็นการจัดการที่เป็น "มืออาชีพ" มาก
ทีนี้ มาว่ากันต่อว่าจับพลัดจับพลูยังไง ผมถึงได้มาเป็นไอ้เจ้าโปรเจคเตอร์ เอ๊ย คอนดักเตอร์กะเค้าได้ ทั้งที่ไม่ได้ร่ำเรียนมาทางนี้ซะหน่อย...มั่วอะเปล่า แล้วบางท่านก็อาจจะสงสัยเพิ่มเข้ามาอีก ตามประสาคนขี้เหงา (เกี่ยวอะไรฟะ ?) ว่าไอ้คนที่เป็นคอนดักเตอร์เนี่ย มันมั่วมั๊ง ทำไปงั้น ๆ ขำ ๆ ไร้สาระ ! เอางี้แล้วกัน ผมขอตอบปัญหาสุดท้ายก่อน จากที่มีถามกันเข้ามา สองหมื่นแปดพันห้าร้อยเก้าสิบสามปัญหา...(ว๊าว !) ไอ้เจ้า คอนดักเตอร์ (Conductor) หรือที่เรียกเป็นภาษาไทยแบบทางการว่า "ผู้ควบคุมวง" เนี่ยนะ จะว่าไปแล้ว เป็นผู้ที่มีความสำคัญกับการเล่นดนตรีเป็นวงใหญ่ มั่ก มั่ก (หมายเหตุ...มั่ก มั่ก = มาก มาก = ภาษาไทยแบบวิบัติ และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์บางชิ้น (ชิบ) หาย ในยุคการเมืองราบรื่น รัฐบาลเร่งทำงาน ฝ่ายค้านจูบปากกับรัฐบาลแบบดูดดื่ม ประชาชนในชาติสามัคคีกัน มีการก่อกำเนิดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเป็นกลุ่มมวลชนที่เข้ามาสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล ไม่มีการแบ่งแยก สร้างเรื่อง วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลในทางเสีย ๆ หาย ๆ แบบที่ไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ชาติไทย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในราวปี พ.ศ.2551 หรือปีใกล้เคียง...เพิ่มเติมความรู้ทางประวัติศาสตร์ชาติไทย เผื่อเยาวชนในอีกสองพันปีข้างหน้าเผลอเข้ามาอ่าน หุ หุ...)
คอนดักเตอร์ เป็นคนที่ทำหน้าที่ปรับจูน นักดนตรีจากหลายเผ่าพันธุ์ ร้อยพ่อพันแม่ หลากหลายความรู้สึกนึกคิด เข้าด้วยกัน คอนดักเดอร์ เป็นผู้กำหนดความช้า ความเร็ว จุดเริ่มต้น จุดสิ้นสุด ของบทเพลง คอนดักเตอร์ เป็นผู้รังสรรค์ให้อารมณ์ของบทเพลงเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และเป็นไปตามความประสงค์ของผู้ประพันธ์เพลงและผู้เรียบเรียงเสียงประสาน ฯลฯ ซึ่งจะว่าไปแล้ว คอนดักเตอร์ ก็เปรียบเหมือนคนขับรถบรรทุกโดยสาร ซึ่งมีหน้าที่นำผู้โดยสารไปถึงที่หมาย จะเร็ว จะช้า จะนุ่มนวล จะกระโชกโฮกฮาก ก็ขึ้นอยู่กับพ่อคนนี้นี่แหละ...ถึงตอนนี้อาบังข้าง ๆ ซึ่งแอบลอบมองผมพิมพ์อยู่นาน อดรนทนไม่ไหวก็หลุดถามออกมาว่า...อีนี่ ทำไมต้องขับรถบรรทุกด้วยหละจ๊ะนายจ๋า ไอ้เจ้าคอนดักเตอร์เนี่ย ขับรถอย่างอื่น อย่างรถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ ไม่ได้เหรอจ๊ะนายยยย ..ผมหันไปยิ้มให้อาบัง พร้อมกับใช้หลังมือเบา ๆ กระแทกเข้าที่หน้าอาบัง จนสลบเหมือดไปตรงโต๊ะที่ผมนั่งอยู่...อิ อิ ...สม
ทีนี้มาถึงเรื่องที่ว่าผมมาเป็นไอ้เจ้าคอนดักเตอร์ที่ว่าเนี่ยได้อย่างไรกันต่อ เรื่องนี้เหตุมันเกิดมาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เมื่อครั้งที่ผมนำคณะนักดนตรีจำนวน10คน ไปแสดงที่ประเทศมาเลเซีย ในงานเดียวกันนี้นี่แหละ คือการประชุมหัวหน้าตำรวจอาเซี่ยน ซึ่งในครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่มีการจัดกิจกรรมการแสดงคอนเสิร์ตร่วมกันขึ้น ตอนนั้นผมไปในฐานะหัวหน้าคณะ จะต้องไปเจรจาต่อรองกับบรรดาประเทศต่าง ๆในหมู่อาเซี่ยน และเนื่องจากการเจรจาตกลง การวางแผนการแสดงค่อนข้างเป็นเรื่องใหม่ ก็เลยจะต้องเจรจาตกลงกันวุ่นวายเอาการอยู่ โชคดีที่ผมสามารถ Speak English แบบสำเนียงแขกมาเลย์ ที่ต้องลงท้ายด้วย ล่ะ ล่ะ ได้ ก็เลยทำให้การต่อรองของเราเป็นไปได้ค่อนข้างราบรื่น เสร็จสิ้นการต่อรอง ก็มาถึงการฝึกซ้อม ซึ่งหัวหน้าวง หรือที่เรียกกันว่า Director of Music ของแต่ละประเทศก็ต้องสลับผลัดเปลี่ยน ขึ้นไปทำหน้าที่ควบคุมวง
เมื่อถึงคิวเพลงของตัวเอง ผมก็คิดอยู่ในใจว่าแล้ว ตูจะเอายังไงดีฟะ จะให้นายเผือก หรือ ร.ต.ท.มานิตย์ บุญน่วม ลูกน้องที่เป็นทั้งเพื่อน ทั้งที่ปรึกษาทางดนตรี เป็นแทนดีอะเปล่า แต่เหลียวซ้าย แลขวา คนที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้า หรือ Director of Music ของประเทศอื่น เค้าต้องขึ้นไปทำหน้าที่คอนดักเตอร์เองทั้งนั้นเลยนี่หว่า ว่าแล้ว อีตาปาป้า Idris ซึ่งผมแอบตั้งฉายาแกจนเป็นที่เรียกติดปากว่า " Papa Director" อดีตตำรวจชาวสิงคโปร์ ซึ่งมาเลเซีย ว่าจ้างมาเป็น Organizer งานคอนเสิร์ตครั้งนี้ หันมามองหน้าผม แล้วก็ถามผมด้วยน้ำเสียงหยามเหยียด แถมแววตาท่าทางที่ดูจะกวนอวัยวะเบื้องต่ำว่า "ตามึงแล้ว...ทำเป็นอะเปล่าฟะ" (ดูเหมือนว่าในครั้งนี้ มาเลเซีย ประเทศเจ้าภาพ ยังไม่มีความมั่นใจว่าจะทำเองได้ เลยว่าจ้างอาบังชาวสิงคโปร์มาจัดการให้...เสียฟอร์มว่ะ..ผมแอบแซวในใจ) เมื่อได้รับการท้าทายในวินาทีนั้น ด้วยเกียรติของลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ ซึ่งมีคติประจำใจว่า "เสียชีพอย่าเสียสัตย์" ทำให้ผมเลือดขึ้นหน้า (เกี่ยวอะไรฟะ !) เอาละวะ ตายเป็นตาย ยอมไม่ได้ละวะงานนี้ ว่าแล้วก็เลยเสี่ยงตายเพื่อมิให้เสียเหลี่ยม (หมายเหตุ...เหลี่ยมในที่นี้ มิได้มีความหมายพาดพิงถึงสัญญลักษณ์ของอดีตผู้นำประเทศที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศพม่าแต่อย่างใด...ทราบแล้วเปลี่ยน !) มิให้เสียทีที่เป็นผู้นำ นำคณะดนตรีไปแล้ว เหมือนบ่มีไก๊ ทำอย่างที่คนอื่นเค้าทำไม่ได้ เลยรวบรวมความกลัว เอ๊ย ความกล้า บวกกับประสบการณ์เมื่อครั้งเล่นวงโยธวาทิตตอนเป็นนักเรียนชั้นประถม แล้วก็ชั้นมัธยม บวกกับการที่มีโอกาสเป็นกรรมการตัดสินวงโยธวาทิตชิงถ้วยพระราชทานมา ก็เลยค่อนข้างจะซึมซับลีลาท่าทาง แต่เหนืออื่นใด ขอแอบบอกความลับนิดนึง ซึ่งยังไม่เคยเปิดเผยมาก่อน ก็คือก่อนหน้าที่จะเดินทาง ได้มีการคาดเดาสถานการณ์เอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า หากเกิดเหตุการณ์ที่จะต้องตัดสินใจอย่างนี้จะทำยังไงดี ก็เลยได้มีโอกาสเตรียมตัว ศึกษาจากตำหรับตำรา รวมทั้งผู้รู้ทั้งที่ทำงาน ทั้งในระดับประเทศ รวมทั้งศึกษาจากสื่อต่าง ๆ ทั้งทางอินเตอร์เนต แผ่นซีดี ด้วยคิดไว้ว่า หากจำเป็นต้องทำ จะทำให้เสียชื่อประเทศชาติไม่ได้ นอกจากนั้น สมัยทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก เคยศึกษาเกี่ยวกับแนวความคิด แล้วก็ความเป็นมาของดนตรีทั้งดนตรีคลาสสิค และดนตรีแจ๊ส มาพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความสวยงามทางดนตรี ก็เลยทำให้มีความกล้า แล้วก็ความมั่นใจที่พอจะสื่อสารกับบรรดานักดนตรีจากหลากหลายประเทศ และทำหน้าที่ "นำวง" ได้อย่างที่ไม่รู้สึกเขอะเขิน ซึ่งก็สามารถเอาตัวรอดมาได้แบบที่เรียกได้ว่าไม่รู้ทำไปได้อย่างไร มันเหมือนมีวิญญาณผีบ้าเข้าสิง แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมบังเอิญโชคดีตรงที่ได้ลูกน้องเก่ง ลูกน้องของผมทุกคนที่นำไปแสดงร่วมกับนักดนตรีต่างบ้านต่างเมือง เป็นลูกน้องที่เป็นนักร้องนักดนตรีจากดุริยางค์ตำรวจ หรือชื่อหน่วยงานแบบเป็นทางการก็คือฝ่ายสวัสดิการ 3 กองสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทุกคนเป็นนักดนตรีที่เรียกได้ว่าเก่งมั่ก ๆ ทุกคน (ย้ำ...มั่ก ๆ = มากโคตร= ภาษาวิบัติในช่วงราวปีพ.ศ.2550 เป็นต้นมา) ทุกคนสามารถสร้างความเก่งบนความขาดแคลนได้อย่างที่เรียกได้ว่าอวดชาวบ้านชาวช่องได้ จนหล้งจากจบคอนเสิร์ตแล้ว ประเทศร่ำรวยแบบสิงคโปร์ ทาบทามมาว่าอยากจะขอมาดูกิจการดนตรีตำรวจไทยซะหน่อย อยากรู้นักว่ากินอะไรถึงเก่งจัง ...นี่ผมพูดจริง ๆ นะ...ไม่ได้โม้...ซึ่งทำให้ผมรู้สึกได้หน้าได้ตากลับมามากเอาการ อยู่....เอ้า..บรรดานักดนตรีตำรวจใครที่แอบเข้ามาอ่าน รู้แล้วก็อย่างเหลิงหล่ะ... ก็เลยทำให้ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา ผมก็เลยผูกขาดความเป็นคอนดักเตอร์จำเป็นมา รวมครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 3 เข้าให้แล้ว
สำหรับการฝึกซ้อมแบบที่เรียกว่าโหดเหี้ยม ในวันนี้ จบลงที่เวลาห้าทุ่มเศษ ๆ ...บ้ามั๊ยหล่ะ..เจ้านาย...ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันไม่ควรจะหนักหนากันขนาดนั้น พิเคราะห์แล้ว มันเป็นเรื่องความอ่อนด้อยในการจัดการของประเทศเจ้าภาพมากกว่า ที่ขาดการเตรียมการณ์ที่ดี ขาดการประสานงาน แล้วที่สำคัญยังขาดความเข้าในในความเป็นธรรมชาติของการฝึกซ้อมอีกด้วย แต่ผมชอบนะ...ผมถือว่ายิ่งเห็นความบกพร่องของเจ้าภาพมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นบทเรียนให้เราได้มีโอกาสเตรียมรับมือ ในวันที่เราต้องเวียนมาทำหน้าที่นี้ ได้มากเท่านั้น ...พวกเราถูกลำเลียงกลับมายังที่พัก"Ong Sum Ping Apartments" ในแบบที่เรียกว่าหมดเรี่ยวหมดแรงที่จะทำอย่างอื่นต่อ...นอกจาก...กินมาม่า...กิจกรรมก่อนนอนซึ่งคณะนักดนตรีตำรวจไทยจะต้องตั้งวงสุมหัวกัน เนื่องจากออกอาการ "กระแดะ" กินอาหารแขกแล้วแบบว่า...ดูเลี่ยน ดูเอียน ไม่มีชาติตระกูล ซัดมาม่าซักซองสองซองจะดูดีกว่า ดูมีชาติตระกูลดี....คิดได้ไงฟะ
สำหรับผม หลังจากที่พินิจพิเคราะห์ความอลังการณ์ของห้องพัก ซึ่งใหญ่โตมโหฬารมาก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะใหญ่ไปทำไม แต่จะว่าไปก็ขอแอบนิดทาซักกะนิดก็แล้วกัน ว่ามันเป็นความใหญ่แบบไม่ค่อยมีรสนิยมซักเท่าไหร่ ประเภทว่าเอาใหญ่ ๆ เอาบึ้ม ๆ เข้าว่า แต่สิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างขัดแย้งกับความใหญ่โตโอฬาร ก็คือความ "สกปรก" ซึ่งสร้างความแปลกใจให้ผมพร้อมคณะเป็นอย่างมาก ว่าเหตุไฉนมันถึงได้สกปรกโคตร ๆ ได้ขนาดนี้ ซึ่งในเวลาต่อมา ก็พอจะหาเหตุของความสกปรกได้ สรุปความว่า เนื่องจากคนประเทศนี้ ถูกจัดเป็นพวกฐานะทางเศรษฐกิจดีกันเกือบทั้งประเทศ ก็เลยหาแรงงานรับจ้างที่จะมาทำความสะอาดยากซักหน่อย เลยเป็นสาเหตุให้ที่พักของพวกเราโสโครกมั่ก ๆ ผมก็เลยอุทิศเวลาก่อนนอน ทำความสะอาดที่พักพร้อมกับห้องน้ำซะเหนื่อยจนลืมง่วง อ้อ...อีกประการที่สำคัญ บอกไปแล้วจะสร้างความหมั่นไส้ให้กับคนประเทศนี้ก็คือ....แอร์คอนดิชั่น ครับพี่น้อง คนประเทศนี้เค้าจะเปิดแอร์กันทุกซอกทุกมุม เปิดจนหนาว เปิดแบบไม่มีวันปิด เพื่อประกาศศักดาให้รู้ว่า "กรูรวยเฟ้ย" และโดยเฉพาะห้องที่จัดให้พวกเราอยู่กัน ผมงงในเหตุผลที่ไม่สามารถปรับระดับความเย็นของแอร์ได้ ในตอนแรกที่ผมมาถึง เพราะอุณหภูมิที่ปรับในห้องมันหนาวแบบสุด ๆ สอบถามก็ได้ความว่า แอร์ในห้องพักทั้งหมดกว่าสิบเครื่อง มีรีโมทคอนโทรลซึ่งสามารถปรับอุณหภูมิได้เพียงตัวเดียว แล้วตอนนี้มันไม่รู้ไปอยู่ทีไหน เห็นที่จะต้องแจ้งตำรวจสายสืบออกตามหา....โอ้ พระเจ้ายอด มันจอร์จมาก...(ผมแอบอุทานเป็นภาษาทีวีไดเร็ค)
กว่าผมจะได้นอนในวันนั้น ก็ปาเข้าไปตีหนึ่งกว่า ๆ เกือบตีสองเข้าไปแล้ว ไม่ง่วงหรอกครับ แต่ก็ต้องรีบนอน เพราะรุ่งขึ้นต้องรีบตื่น เนื่องจากมีตารางการฝึกซ้อมและต้องออกเดินทางตั้งแต่แปดโมงครึ่งในตอนเช้า ...คิดถึงบ้าน คิดถึงเมืองไทย คิดถึงความสงบร่มเย็น ประชาชนในชาติรักใคร่สามัคคีกันที่ประเทศของเรา..ปลื้มใจ...รักประเทศไทยที่สุดเล้ยยย...(อ่านต่อตอนหน้านะจ๊ะ...)
ปล. อยากรู้จักผมมากกว่านี้ ไปที่นี่เลยครับ http://www.dr-rak.com (ขอโทษที ยังไม่ค่อยสมบูรณ์นักขอรับ)
Quote of the Day:
He who laughs last has not yet heard the bad news.
--Bertolt Brecht