Saturday, March 22, 2008

แรงบันดาลใจ



เป็นเวลากว่าชั่วโมง ที่ผมยืนดูการแสดง “วณิพกคอนเสิร์ต” ของพี่ประเสริฐ ดีหนองโดน ศิลปินตาบอด ที่วาดลวดลาย ทั้งร้องเพลง ทั้งเล่นคีบอร์ด อยู่บริเวณทางเท้าทางลงเรือท่าน้ำพรานนก หน้าโรงพยาบาลศิริราช ด้วยลีลาการขับร้องของพี่ประเสริฐ ซึ่งแม้วัยจะล่วงเลยมาได้กว่า 54 ปีแล้ว แต่พลังเสียง ประกอบด้วยทักษะการร้องที่รู้ได้เลยว่าได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ทำให้ผู้ที่ผ่านไปผ่านมารวมทั้งตัวผมด้วย อดไม่ได้ที่จะหยุดชื่นชมความสามารถของพี่ประเสริฐ นอกจากนั้น ลีลาการเล่นดนตรีของพี่ประเสริฐ ก็จัดได้ว่า “ไม่ธรรมดา” อีกเช่นกัน เทคนิคการเล่น การวางคอร์ด ทำให้ผม ซึ่งก็พอจะรู้ พอจะเล่นเครื่องดนตรีประเภทนี้ได้บ้าง ถึงกับต้องยืนนิ่งมองดูการแสดง ของพี่ประเสริฐ แบบไม่แคร์สายตาของผู้คนที่ผ่่านมาผ่านไป

พี่ประเสริฐ ร้องเพลงได้ทุกลีลา ไม่ว่าจะเป็นเพลง “ลูกกรุง” ยุค สุเทพ ฯ ธานินทร์ ฯ รึว่าจะเป็นเพลงสตริงยุคจิ๊กโก๋อกหัก แต่ที่เรียกเสียงฮือฮาก็น่าจะเป็นเพลงในสไตล์ของศิลปินใจร้อน เสก โลโซ ซึ่งนอกจากจะเลียนน้ำเสียงของเสก โลโซ ได้ละม้ายมาก ๆ แล้ว ยังโชว์ลีลาการสร้่างสรรค์ดนตรีในแบบของพี่ประเสริฐ เอง ที่แม้จะฟังดูแปลกหู แต่ก็บอกได้เลยพี่แกทำได้เท่ห์ มาก นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นเพลงสากล เพลงร็อค ฯลฯ พี่เสริฐ ทั้งร้องทั้งเล่นได้หมด แต่ที่แกถนัด แล้วก็ชอบที่จะร้องเป็นชีวิตจิตใจ เห็นจะได้แก่เพลงของศิลปินแห่งชาติ “สุเทพ วงศ์กำแหง”

เวลากว่าชั่วโมงที่ผมยืนแบบชนิดที่เรียกว่า “จ้องดู” พี่ประเสริฐ หมดไปเร็วมาก สิ่งที่ผมได้เห็นในแบบ“ดื่มด่ำ” เป็นประสบการณ์แบบธรรมดา ๆ สำหรับใครหลาย ๆ คน แต่สำหรับผม ในวันนั้น มันเทียบได้กับผมได้มีโอกาสไปนั่งดูคอนเสิร์ต ราคาแพงจากต่างประเทศ มันเป็นความตื่นเต้น ตื้นตัน ยังไงบอกไม่ถูก เพลงทุกเพลงที่พี่ประเสริฐบรรจงร้อง บรรจงกรีดนิ้วประกอบลีลาอารมณ์การเคลื่อนไหว ของพี่ประเสริฐ ในวันนั้น มันบ่งบอกถึงความตั้งใจ เป็นความตั้งใจในทุก ๆ วินาทีที่พี่ประเสริฐเปิดคอนเสิร์ต ในวันนั้น และที่สำคัญที่สุดก็คือ มันเป็นความสุขที่พี่ประเสริฐได้ทำ ผมคิดว่าผมไม่ได้ “เว่อร์” แม้ผมจะไม่สามารถสังเกตุแววตาแห่งความสุขของพี่ประเสริฐได้ ผมก็รับรู้ได้จากรอยยิ้ม จากความภูมิใจ หลังจากที่พี่ประเสริฐเล่นเพลงจบทุกครั้ง จะมีเสียงตบมือ จะมีเสียงเหรียญบาท เหรียญห้าบาท หรือแม้กระทั่งเหรียญสลึง ที่โยนใส่กล่องซึ่งพี่ประเสริฐวางไว้ด้านหน้าคีย์บอร์ดตัวโปรด โดยมิได้บอกกล่าวให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาช่วยทำทาน ก็ไม่ทำให้ความสุขความภูมิใจ ของพี่ประเสริฐ เกิดความแตกต่างไปตามมูลค่าของ “เศษสตางค์” ของผู้คนที่อุตส่าห์ “เจียด” โยนเป็นเงินทำทาน แก่พี่ประเสริฐ

ตรงกันข้าม ความสุขของพี่ประเสริฐ อยู่ตรงที่พี่ประเสริฐ “ได้ทำ” ต่างหาก ...ใช่แล้ว ความสุขมิได้อยู่ตรงที่ผลของการกระทำ ความสุขอยู่ตรงที่ได้กระทำ หากความสุขอยู่ตรงผลของการกระทำ ชีวิตของพี่ประเสริฐคงจะเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม เนื่องเพราะพี่ประเสริฐมิอาจคาดหวังจาก “สินน้ำใจ” ของผู้คนที่ผ่านมาผ่านไปได้เลย และหากพี่ประเสริฐคาดหวัง ผลของมันก็เป็นไปได้สองทางคือไม่สุขก็ทุกข์ และโอกาสที่จะทุกข์ มันก็ดูเหมือนจะมากกว่าเสียด้วย แต่หากความสุขของพี่ประเสริฐ อยู่แค่ “ได้กระทำ” แล้วละก็ ทุกๆ ครั้งที่พี่ประเสริฐได้ทำ ผลจะเป็นอย่างไง พี่ประเสริฐ ก็จะได้ผลออกมาเพียงอย่างเดียว นั่นคือ “ความสุข” อ้าว...แล้วงั้นพี่ประเสริฐ จะเลือกความน่าจะเป็นที่จะเจอกับความทุกข์ ความผิดหวังทำไม่เล่า....ใช่แล้วครับ...ความสุขมันอยู่ในทางของมัน เราไม่ต้องไปไขว่คว้ามาจากไหน หากเราเลือกที่จะเดินไปในทางของมัน เราจะได้พบกับมันแน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราต้องเดินออกไปเผชิญกับมันเอง แบบที่คำพระท่านว่า “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญู หิตี” ซึ่งแปลง่าย ๆ ว่า อยากได้ต้องลองทำดูเอง วานให้คนอื่นทำ ไม่มีโอกาสเจอแน่

ผมมีโอกาสพูดคุยกับ “พี่โอ๋” ภรรยาของพี่ประเสริฐ ซึ่งนั่งอยู่คู่กายพี่ประเสริฐตลอดเวลา คอยช่วยเหลือหยิบจับโน่นจับนี่ให้กับพี่ประเสริฐ และที่สำคัญ คอยเป็นกำลังใจที่ดีให้กับพี่ประเสริฐ พี่โอ๋เล่าว่า อยู่กินกับพี่ประเสริฐมาได้สิบกว่าปีแล้ว เมื่อก่อนพี่ประเสริฐเล่นดนตรี ร้องเพลงอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง โดยมีพี่โอ๋เป็นแม่ครัวประจำอยู่ที่ร้านแห่งนั้นด้วย ต่อมาเกิดปิ๊งกัน แม้ว่าสายตาพี่ประเสริฐจะไม่สามารถสื่อสารให้เห็นถึงก้นบึ้งของหัวใจได้ แต่พี่โอ๋ก็ได้มีโอกาสความเป็น “คนดี” คนมีน้ำใจของพี่ประเสริฐ จนทั้งคู่ตกลงปลงใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน โดยที่พี่โอ๋มิได้รังเกียจรังงอนในความ “ไม่สมบูรณ์” ของพี่ประเสริฐเลย ในทางตรงกันข้าม กลับเต็มใจ และภูมิใจที่ได้มีโอกาสใช้ชีวิตร่วมกับคนดี ๆ อย่างพี่ประเสริฐ ต่อมา ความทันสมัยแต่ไร้รสนิยมของมนุษย์ ทำให้เครื่องดนตรีชนิดใหม่ ที่ไม่ต้องมีคนเล่น ที่เรียกว่า “คาราโอเกะ” ก็เข้ามาทำหน้าที่แทนนักดนตรีคนเก่งอย่างพี่ประเสริฐ ทำให้พี่ประเสริฐ รู้จักกับคำว่า “ตกงาน” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ชีวิตไม่ส้ินก็ต้องดิ้นไป...พี่ประเสริฐไม่เคยสิ้นหวังกับหนทางอันตีบตันของชีวิต แม้โชคชะตาจะไม่เคยเข้าข้าง แต่พี่เสริฐเข้าข้างตัวเองเสมอ พี่ประเสริฐ กล้าที่จะเผชิญหน้ากับ “การท้าทาย” ของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ให้ความ “ไม่สมประกอบ” มากับพี่ประเสริฐ แต่นัยหนึ่ง พระผู้เป็นเจ้า คงกำลังพิสูจน์อะไรบางอย่างกับพี่ประเสริฐ เหมือนกับหลาย ๆ คนบนโลกใบนี้ ซึ่งหากสามารถ”สอบผ่าน” กับแบบทดสอบของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว พระผู้เป็นเจ้าคงประทานรางวัลชิ้นงามให้กับเขาผู้นัั้นเป็นแน่...ผมเชื่ออย่างนั้น แล้วผมก็คิดว่าพี่ประเสริฐก็คงคิดไม่ต่างจากผม จึงเป็นเหตุให้พี่ประเสริฐ ทำทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้ อย่างดีที่สุด เท่าที่มนุษย์ซึ่งมีอวัยวะที่ “ขาด” อย่างพี่ประเสริฐ จะทำได้ ซึ่งอย่างน้อย สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้แก่พี่ประเสริฐมาในทันทีแบบที่ไม่ต้องรอเวลาก็คือ “ความสุข” มันเป็นความสุขจากการที่ได้ทำโดยไม่ต้องรอผลแห่งการกระทำ ใช่แล้ว...หลาย ๆ คนอาจดูแคลนในใจว่าพี่ประเสริฐเป็นแค่เพียง “วณิพกพเนจร” ซึ่งฟังดูแล้วรู้สึกว่า “ไม่ให้ค่า” กับพี่ประเสริฐเอาเสียเลย แต่สำหรับตัวพี่ประเสริฐเองแล้ว ไม่ได้คิดแค่นั้น พี่ประเสริฐคิดว่าตัวเองเป็น “ศิลปิน” ใหญ่ ที่มีหน้าที่ให้ความสุขกับผู้คน ซึ่งมันเป็นหน้าที่ ที่พี่ประเสริฐต้องทำมัน ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำเพราะว่ามันเป็นหน้าที่ แต่เป็นหน้าที่ที่ต้องทำ...อ่านดูแล้วอาจรู้สึกงง ๆ แต่ลองย้อนกลับไปอ่านใหม่ดูซิครับ ความหมายมันต่างกันนะครับ

การได้รู้จักกับพี่ประเสริฐ การได้เห็นการแสดง ความสุขจากการแสดงของพี่ประเสริฐ ในวันนั้น ให้อะไรกับชีวิตกับผมในแบบที่ผมไม่เคยได้มาก่อน มันเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่เราอาจพบเห็นได้ไม่ยากตามท้องถนนในเมืองใหญ่ แต่จะมีสักกี่คน จะให้ความสนใจกับเรื่องที่คิดว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ เหล่านั้น ผมได้ข้อคิด ได้แรงบันดาลใจ ในการทำหน้าที่ ในการหาความสุขในชีวิต จากบทเรียนง่าย ๆ ข้างถนน...ก่อนกลับผมไม่ลืมที่จะมอบน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับพี่ประเสริฐ เป็นการให้กำลังใจในการทำหน้าที่ของพี่ประเสริฐ และไม่ลืมที่จะให้พี่ประเสริฐได้ทำหน้าที่ที่พี่ประเสริฐตั้งใจทำอีกหน้าที่หนึ่ง นั่นคือการ”เป็นหมอดู” ซึ่งผมก็มิได้คาดหวังว่าจะถูกต้องแม่นยำอะไรนักหนาหรอกครับ...แต่เชื่อไหมครับ อย่าหาว่าอย่างโง้นอย่างงี้เลย ส่ิงที่พี่ประเสริฐทักทายผมในฐานะหมอดูนั้น ดูจะแม่นเอาการอยู่ ผมจากลาพี่ประเสริฐ พร้อมพี่โอ๋ ด้วยรอยยิ้ม และความประทับใจ และหวังว่าวันหนึ่งพระผู้เป็นเจ้า หรืออะไรก็ตามที่เวลานี้ยังทำหน้าที่ “ประลองกำลัง” พี่ประเสริฐ อยู่ จะประทานของขวัญล้ำค่าอันเกิดจากความตั้งใจ ความเอาจริงของพี่ประเสริฐ มาให้กับพี่ประเสริฐ กับครอบครัวได้ชื่นชมบ้าง หลังจากที่ชีวิตต้องเหน็ดเหนื่อยมาแทบทั้งชีวิต...

ปล. หากอยากรู้จักพี่ประเสริฐเพิ่มเติม อยากหางานให้ทำ อยากจ้างไปเล่นดนตรี ร้องเพลงที่ไหน หรือแม้กระทั่งอยากให้พี่ประเสริฐดูหมอให้ ติดต่อพ่ีประเสริฐได้ที่ 08-6865-8331 รับรองได้ว่า เรื่องฝีไม้ลายมือ เทียบชั้นมืออาชีพได้เลยนะขอรับ...ไม่ได้โม้ !